วันนี้มาต่อเรื่อง
“คำนำ” ในหนังสือ “มหาสติปัฏฐานสูตร” ของพระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) ที่แปลและเรียบเรียง
โดยพระคันธสาราภิวงศ์ แห่งวัดท่ามะโอ จังหวัดลำปาง กันต่อไป เป็นบทความที่ 3 แล้ว
แนวทางในการเจริญสติปัฏฐานนี้ มีมาในมหาสติปัฏฐานสูตรของทีฆนิกายและมัชฌิมนิกาย
ทั้งสองสูตรนี้มีข้อความตรงกัน โดยระบุวิธีเจริญสติไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่าพระสูตรอื่นๆ
ในนิกายทั้ง ๕ ซึ่งกล่าวถึงการเจริญสติไว้โดยย่อบ้าง โดยอ้อมบ้าง
ตามอัธยาศัยของผู้ฟังในแต่ละโอกาส การศึกษาพระสูตรนี้ อย่างถ่องแท้
จะส่งผลให้เข้าใจคำสอนทั้งหมด ที่กล่าวถึงการปฏิบัติธรรม
ชาวพุทธในสมัยพุทธกาลให้ความสำคัญกับมหาสติปัฏฐานสูตรด้วยการศึกษา
ท่องบ่น สาธยาย และสดับตรับฟังเป็นนิตย์
บางท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลด้วยการฟังพระสูตรนี้
ข้อความที่ยกตัวอย่างไปข้างบนั้น
จะเห็นว่าพระมหาสมลักษณ์หรือพระคันธสาราภิวงศ์เริ่มมั่วแล้ว
ไปตามความเชื่อของพระพม่า เปรียญ 9 ของพม่า กับเปรียญ 8 ของไทย ช่วยท่านไม่ได้เลย
ข้อความนี้
“การศึกษาพระสูตรนี้ อย่างถ่องแท้
จะส่งผลให้เข้าใจคำสอนทั้งหมด ที่กล่าวถึงการปฏิบัติธรรม”
เป็นข้อความที่ไม่จริงและเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ขอยกตัวอย่างหัวข้อธรรมะของโพธิปักขยธรรม, อานาปานสติสูตร
และ “อุปริปัณณาสก์”
มัชฌิมนิกาย อีกครั้งหนึ่ง
โพธิปักขิยธรรม
หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ
เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี 37 ประการคือ
สติปัฏฐาน 4
สัมมัปปธาน 4
อิทธิบาท 4
อินทรีย์ 5
พละ 5
โพชฌงค์ 7
มรรคมีองค์ 8
จะเห็นว่าโพธิปักขิยธรรม
หรือ โพธิปักขิยธรรม 7 หัวข้อธรรมะใหญ่ๆ นั้น
สติปัฏฐาน 4 เป็นหัวข้อธรรมะพื้นฐานชัดๆ
เรียนแค่สติปัฏฐาน 4
จะรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธได้อย่างไร
หลักฐานอีกชิ้นหนึ่งอยู่ใน
“อานาปานสติสูตร”
และหนังสือของสาวกของพระพม่าก็ชอบยกมาอ้างกันมาก คือ ข้อความนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม บำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔
ให้บริบูรณ์ได้
ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗
ให้บริบูรณ์ได้
ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มาก แล้ว
ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ
จะเห็นว่าในอานาปานสติสูตรก็กล่าวไว้ชัดเจนว่า
อานาปานสติเป็นพื้นฐานให้กับสติปัฏฐาน 4 สติปัฏฐาน 4
ก็ยังเป็นพื้นฐานให้กับโพชฌงค์ 7 เมื่อเรียนรู้และปฏิบัติหัวข้อธรรมะทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น
จึงจะ “บำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้”
คำว่า
“วิชชา” นั้น หมายถึงวิชชา 3 คำว่า “วิมุตติ” หมายถึงการบรรลุพระอรหันต์
หลักฐานก็มาจากหนังสือเล่มนี้ ของพระมหาสมลักษณ์เอง เพราะ ในหนังสือเล่มนี้
ก็อ้างข้อความดังกล่าว แต่มาจาก “อุปริปัณณาสก์” มัชฌิมนิกาย ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้
ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗
ให้บริบูรณ์ได้
ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชา
(มรรคญาณ ๔) และวิมุตติ (ผลญาณ ๔) ให้บริบูรณ์ได้ (หนังสือมหาสติปัฏฐานสูตร หน้า
67)
แล้วปฏิบัติธรรมเพียงเดินจงกรมไปมา
มีสติอยู่กับอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย และพิจารณาพระไตรลักษณ์ไปด้วย
จะเข้าใจการปฏิบัติธรรมทั้งหมดในศาสนาพุทธได้อย่างไร
หลักฐานที่ชัดเจนที่ว่า
การปฏิบัติธรรมแบบพระพม่า รวมถึงการปฏิบัติธรรมเฉพาะสติปัฏฐาน 4 ไม่สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้
ก็มาจากข้อความของพระมหาสมลักษณ์ ดังนี้
ชาวพุทธในสมัยพุทธกาลให้ความสำคัญกับมหาสติปัฏฐานสูตรด้วยการศึกษา
ท่องบ่น สาธยาย และสดับตรับฟังเป็นนิตย์
บางท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลด้วยการฟังพระสูตรนี้
จะเห็นว่า
พระมหาสมลักษณ์บอกเพียงว่า “บางท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลด้วยการฟังพระสูตรนี้”
ไม่ได้เป็นพระอรหันต์
ตรงนี้
พระมหาสมลักษณ์ไม่กล้าบิดเบือนเพราะ สติปัฏฐาน 4 นั้น มีในพระไตรปิฎกเพียง 2
แห่งเท่านั้น คือ ในทีฆนิกายและมัชฌิมนิกาย
ซึ่งมีเนื้อความตรงกัน
ตอนจบของสติปัฏฐาน
4 เป็นดังนี้
ผลแห่งการเจริญสติปัฏฐาน
[๑๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้
อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีขันธบัญจกเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี
๗ ปี ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๖
ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ... ๑ ปี ยกไว้. ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔
นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อขันธบัญจกมีเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี
๗ เดือน ยกไว้ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน ๒
เดือน ๑ เดือน กึ่งเดือน ...
กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ วัน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตตผลในปัจจุบัน
หรือเมื่อขันธปัญจกยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี.
คำนิคม
[๑๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้ เป็นที่ไปอันเอก
เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ฉะนี้แล
คำที่เรากล่าวดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคนี้กล่าวแล้ว.
พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นยินดี ชื่นชม ภาษิต ของพระผู้มีพระภาค แล้วแล.
จะเห็นว่า
ไม่มีใครบรรลุเป็นพระอรหันต์
ขอยกตัวอย่างจากอนัตตลักขณสูตร
ดังนี้
[๒๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี
เพลิดเพลินภาษิตของผู้มีพระภาค. ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่
จิตของพระปัญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
อนัตตลักขณสูตร จบ
ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์.
ขอให้สังเกตข้อความที่ว่า
“พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น” ถ้ามีข้อความนี้ แสดงว่า
ในการสอนของพระพุทธองค์ในครั้งนั้น จะมีผู้บรรลุพระอรหันต์
ขอยกตัวอย่างจากอนุปุพพิกถาสูตร
ดังนี้
ต่อมาพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้น
ด้วยธรรมีกถา.
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา
จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
สมัยนั้น
มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์.
สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน
ของพระยสออกบรรพชา จบ.
จากหลักฐานที่ยกไปข้างต้นทั้งหมดนั้น ขนาดสติปัฏฐานสูตรเอง
ยังไม่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้
การปฏิบัติธรรมของสายยุบหนอพองหนอ
ที่อาศัยการเดินจงกรมไปมา และใช้สติในการ “คิดรู้” อย่างนักปรัชญา ไม่ใช่ “ญาณทัสสนะ” ในศาสนาพุทธ จะทำให้คนเข้าใจการปฏิบัติธรรมทั้งหมดได้อย่างไร
และจะพาสาวกไปนิพพานได้อย่างไร..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น